เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เขียนขึ้นจากประสบการณ์โดยตรงของข้าพเจ้า ที่บังเกิดขึ้น ในแดนพุทธภุมิ ประเทศอินเดีย เพราะเป็นเรื่องปัจจัตตัง ข้อความทั้งหมดเขียนด้วยจิตบริสุทธิ์ที่ศรัทธาอย่างแนบแน่นในพระรัตนตรัยทั้งสาม คือ พระพุทธเจ้า ผู้ทรงกรุณาอันยิ่งใหญ่หาที่สุดไม่ได้ ผู้ทรงขับเคลื่อนธรรมจักรให้บังเกิดขึ้นในปฐพีนี้ เพื่อช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามวัฏสังสารไปสู่จุดหมายคือพระนิพพาน และข้าพเจ้าขอเทิดทูนเหล่าอริยะสาวกสาวิกาทั้งหลายที่ได้ค้ำจุนศาสนาให้ดำรงคงอยู่และนำคำสอนมาเผยแพร่แก่สรรพสัตว์ ถ้าขอความที่เขียนเหล่านี้ยังประโยชน์ใดให้กับผู้อ่าน กุศลผลบุญทั้งหมดขออุทิศให้แก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระธรรม และพระอริยเจ้าทั้งมวล ทั่วทุกโลกธาตุ รวมสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วยเทอญ
จุดเริ่มต้นแห่งศรัทธาที่ทำให้ข้าพเจ้าปรารถนาเดินทางมาสู่แดนพุทธภูมิ อาจเป็นเนื่องมาจากบุญและกรรมในอดีตของข้าพเจ้า เมื่อปลายปี 2545 เป็นปีที่ในหลวงเจริญพระชนมายุ 75พรรษา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปสักการะไปธาตุเขี้ยวแก้วของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่อัญเชิญมาจากประเทศจีน เพื่อร่วมงานฉลองของในหลวง นับว่าเป็นโชคดีอันยิ่งใหญ่ของชาวไทยทั้งมวล เพราะอาจเป็นแค่ครั้งเดียวที่พระธาตุเขี้ยวแก้วได้เดินทางมาสู่ประเทศไทย ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้พบกับพระธาตุเขี้ยวแก้วได้พบภาพนิมิตพระพุทธฉาย พร้อมด้วยพระอรหันต์สาวกนั่งอยู่จำนวนมาก ข้าพเจ้าเห็นอย่างชัดเจนในขณะที่ลืมตา และในบริเวณนั้นมีพลังงานมหาศาลยิ่งใหญ่ปกคลุมไปทั่ว ข้าพเจ้ามีความรู้สึกสัมผัสได้ถึง พลังงานมหาศาลอันอบอุ่นและทำให้จิตใจเย็นสบายไปอย่างบอกไม่เคยเป็นมาก่อน วันนั้นข้าพเจ้าได้ตั้งความปรารถนาจะต้องเดินทางไปสัมผัสกับแดนพุทธภูมิ ประเทศอินเดีย ให้ได้อย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต
ความปรารถนาได้บรรลุเป็นจริงในปี 2550 ข้าพเจ้ากับภรรยาได้เดินทางไปยังแดนพุทธภูมิ พร้อมกับเพื่อนสนิทอีก 2 คน เนื่องจากเป็นการไปครั้งแรก ข้าพเจ้าจึงเลือกเดินทางไปกับคณะทัวร์ที่มีชื่อเสียง นอกจากไปแดนพุทธภูมิแล้ว ยังได้เดินทางไปเที่ยวยังสถานที่อื่นเช่น ถ้ำอชันต้า ถ้ำเอลโลร่า และทัชมาฮาล แต่จุดประสงค์คือสถานที่ในพุทธศาสนา การไปในครั้งนั้นมีพระภิกษุร่วมทางไปอีก 4 รูปเป็นพระเกจิและพระชื่อดังด้านดูดวง โชคดีที่ไปได้พระวิทยากรเป็นมหาดาวสยาม เป็นพระที่มีความรู้ดีในอินเดีย และเป็นผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับประวัติพุทธศาสนาและสถานที่ต่างๆในอินเดียหลายเล่ม ต่อมาท่านมหาดาวสยาม ก็กลายเป็นอีกผู้หนึ่งที่สนิทกัน เวลามาเมืองไทยท่านจะต้องโทรมาบอกเสมอ
สถานที่สำคัญในแดนพุทธภูมิ 4 แห่งที่ควรมาให้ครบได้แก่
1. สถานที่ประสูติ ณ สวนลุมพินีวัน หรือ ลุมมันเด ปัจจุบันอยู่ที่เนปาล

2. สถานที่ตรัสรู้ เมืองพุทธคยา หรือ โบดคยา (ตามเสียงคนอินเดีย)

3. สถานที่แสดงธรรมจักรกัปปวัตนสูตร ที่เมืองพาราณสี หรือ บาราณสี (ตามเสียงอินเดีย)

4. สถานที่ปรินิพพาน เมือง กุสินารา

ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสบอกพระอานนท์ ในมหาปรินิพพานสูตร ว่าสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง เป็นสิ่งที่ชาวพุทธทั้งหลายควรมาทัศนา เมื่อบุคคลนั้นมาด้วยความศรัทธาและเลื่อมใส เมื่อร่างกายแตกดับลงจะได้ไปสู่สุคติสวรรค์เป็นอย่างต่ำ ดังนั้นคนที่มาเยือนแดนพุทธภูมิ ควรประกอบด้วย 4 ปัจจัยดังนี้
1. ศรัทธาและวิริยะ บางคนมีศรัทธามาถึงสถานที่ของพระพุทธเจ้าแล้ว แต่ขาดวิริยะ พอลำบากนิดหน่อยก็ไม่เอา เคยเห็นบางคนไปถึงเจดีย์พุทธคยา แต่ไม่ยอมเดินเข้าไปข้างในก็มี เพราะกลัวเท้าสกปรก และกลัวเหนื่อย หรือเดินขึ้นเขาคิชกูฏไปได้ไม่ไกลก็ถอยหลังกลับก็มีครับ
2. กำลังทรัพย์ แน่นอนถ้าไม่มีทรัพย์ก็ไปไม่ได้ ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ย 30,000 ขึ้นไปแบบนอนวีดหมด ถ้าไปกับทัวร์ที่ดูแลดีหน่อยก็ร่วมๆ 50000 บาทครับ ถ้ามีรายการพิเศษแบบที่ข้าพเจ้าไปในปีนั้นก็เกือบ 70000 บาทต่อคนครับ
3. เวลา อันนี้ก็สำคัญมาก บางคนทำงานบริษัท โอกาสที่จะลางานแบบ 8-12 วันไม่ง่ายนัก ข้าพเจ้าชอบรายการแบบอย่างน้อย 12 วันเพราะจะได้ดูอยู่ในสถานที่ต่างๆแบบไม่รีบเกินไป
4. สุขภาพ คนที่ไปควรมีสุขภาพดี บางคนตอนอยู่เมืองไทยสุขภาพดี แต่เวลาไปอยู่ที่อินเดีย แล้วเจ็บป่วยก็มีเยอะครับ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องท้องเสีย เป็นหวัด เป็นต้น เคยเจอหลายคนอยากไปแดนพุทธภูมิ ปัจจัย 3 ข้อข้างบนมีหมด แต่มาติดปัญหาเรื่องสุขภาพ ได้แต่น้ำตาซึมเวลาข้าพเจ้าเอารูปที่ไปแดนพุทธภูมิมาให้ดู บางคนนอนร้องไห้เลยก็มี เพราะเป็นอัมพาต บางคนมีความเชื่อฝั่งใจว่าไปอินเดียแล้วลำบาก เป็นประเทศที่น่ากลัว แต่จริงๆแล้วอินเดียมีสิ่งที่ให้เราได้ศึกษาเยอะแยะ เพียงแต่ว่าเราจะเปิดใจยอมรับหรือเปล่า ดูอย่างพระถังซำจั่ง ในเรื่องไซอิ๋ว ท่านมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ ท่านเดินทางด้วยเท้าผ่านทะเลทรายและลำบากมากมายเพื่อมายังแดนพุทธภูมิ ในช่วงปีพ.ศ 1170 ท่านใช้เวลาอยู่ที่อินเดียถึง 15 ปี และท่านได้ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยนาลันทาจนเป็นอาจารย์ใหญ่ที่คนนับถือ เมื่อกลับไปจีนก็ได้แปลคัมภีร์ทางพุทธมากมาย โชคดีที่ท่านบันทึกเส้นทางการเดินทางไปสถานที่ทางพุทธศาสนาไว้อย่างละเอียด จนกระทั่งคนรุ่นหลังได้ใช้เป็นหลักฐานในการสืบเสาะหาสถานทีประวัติศาสตร์
วันแรกของการเดินทางของข้าพเจ้าในทัวร์นี้ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 8 โมงเช้า เครื่องบินไปลงที่เมืองคยา ประมาณเที่ยง ของอินเดีย หลังจากทานอาหารกลางวัน ที่โรงแรมแล้วประมาณ บ่าย 2 โมง ทัวร์จะพาไปที่ สถานที่ตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้า ณ บริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์ สถานที่แห่งนี้จะมีชาวพุทธจากทั่วโลกมาสักการะมากมาย ทั้งจากธิเบต พม่า ไต้หวัน ลังกา ญี่ปุ่น จีน เป็นต้น ข้าพเจ้ามาทัวร์ในช่วงต้นเดือนธันวาคม ปี 2550 ผู้ร่วมคณะทั้งหมดประมาณ 28 คน ท่านดาวสยาม ได้พาคณะข้าพเจ้าไปสักการะยังวิหารพุทธคยา ที่มีหลวงพ่อพุทธเมตตา อยู่ข้างใน สำหรับหลวงพ่อพุทธเมตตา เป็นพระพุทธรูปสมัยปาละ ทำจากหินดำ เมื่อประมาณปีพ.ศ. 1100 ท่านรอดพ้นผ่านการทำลายของคนต่างศาสนามาทุกครั้ง เช่น ประมาณปีพ.ศ 1140 สมัยพระเจ้าศศางกะ กษัตริย์แคว้นเบงกอล ส่งกองทัพมาโจมตีทำลายต้นพระศรีมหาโพธิ์ จนล้มพังลง และได้สั่งให้ทหารคนสนิททำลายพระพุทธเมตตา แต่ทหารคนสนิทไม่กล้าทำลาย เพราะเมื่อมองที่พักตร์ของพระพุทธรูปแล้วไม่กล้าทำ จึงได้ร่วมมือกับชาวบ้านก่อกำแพงซ่อนพระพุทธเมตตาไว้ พร้อมกับจุดตะเกียงไฟบูชาพระ เมื่อพระเจ้าศศางกะ ได้ยกทัพกลับไป ทหารคนสนิทได้รายงานว่าทำลายพรพุทธรูปแล้ว แทนที่พระเจ้าศศางกะ จะดีใจแต่ท่านเกิดความกลัว และอีกไม่นานก็ได้สวรรคตลง โดยบันทึกบอกว่าเป็นโรคประหลาดเนื้อตัวเน่าเลยครับ ก่อนตายทรมานมาก หลังจากนั้นไม่นานทหารคนนั้นได้กลับมาอีกครั้ง เพื่อทำลายกำแพงที่ซ่อนพระพุทธรูป ก็ต้องแปลกใจเมื่อตะเกียงน้ำมัน ยังคงสว่างไสวอยู่ไม่ดับ สำหรับวิหารพระพุทธเมตตาหรือเจดีย์ เริ่มสร้างครั้งแรกสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อประมาณปี 247 สันนิษฐานว่าเป็นเจดีย์ทรงบาตรคว่ำคล้ายๆกับเจดีย์นครปฐม ต่อมาได้รับการดัดแปลงในสมัยพระเจ้าหุวิชะกะ เป็นทรงเจดีย์ที่เราเห็นอยู่ในทุกวันนี้ ด้านหลังวิหาร จะเป็นที่ตั้งของต้นพระศรีมหาโพธิ์ และแท่นวัชรอาสน์ (สถานที่พระพุทธเจ้านั่งบัลลังก์ ตอนตรัสรู้) สำหรับต้นพระศรีมหาโพธิ์ ปัจจุบันเป็นต้นที่ 4 มีความเป็นมาดังนี้
1. ต้นที่หนึ่ง เกิดขึ้นพร้อมกับพระพุทธเจ้าประสูติ เป็นสหชาติ ถูกทำลายลงตอนปีประมาณ พ.ศ.//240 เพราะวามอิจฉา ของมเหสีองค์ที่ 4 ของพระเจ้าอโศกมหาราช เพราะพระเจ้าอโศก ท่านจะเสด็จมาที่ต้นโพธิ์นี้ประจำ บางครั้งก็มาพักค้างคืนอยู่หลายๆวัน จนกระทั่งมเหสีองค์นี้หึงหวง เลยสั่งคนทำลายโดยเอายาพิษราดรดต้นโพธิ์จนตายลง ในบันทึกบอกว่าพระเจ้าอโศกเสียใจมากจนหมดสติล้มลง ต่อมามีพระอรหันต์รูปหนึ่งน่าจะเป็นพระโมคคัลลีบุตร (ศิษย์ในสายพระอานนท์ ) ได้แนะนำให้เอานมแพะ 500 ตัว(ถ้าจำไม่ผิด) มารดที่ต้นโพธิ์ทุกวัน จนกระทั่งเกิดต้นโพธิ์รุ่นที่สอง
2. ต้นที่สอง คือต้นที่พระเจ้าอโศก ปลูกขึ้นมาจากต้นแรก มีอายุอยู่มายาวนานจนถูกทำลายโดยพระเจ้าศศางกะ
3. ต้นที่สาม ปลูกโดยกษัตริย์แคว้นมคธ หลังจากที่พระเจ้าศศางกะยกทัพกลับไปแล้วไม่นาน โดยใช้วิธีเดียวกับพระเจ้าอโศก มีอายุยาวนานมาถึงประมาณ พ.ศ. 2430 สมัยรัชกาลที่ 5 ก็ถึงคราวหมดอายุ โดนฟ้าผ่าจนต้นล้มลง โชคดีได้ท่านเซอร์คันนิ่งแฮม นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษและเลื่อมใสในพุทธศาสนา ได้ทำการปลูกต้นที่สี่ขึ้นมาโดยใช้หน่อของต้นที่สาม ท่านคันนิ่งฉฮม นี่แหละครับที่เป็นผู้ขุดค้นหาสถานที่สำคัญต่างๆในพุทธศาสนาโดยอาศัยบันทึกของพระถังซำจั่ง นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มอบพระบรมสารีริกธาตุ ในส่วนที่พบ ณ เมืองกบิลพัตร์ ให้แก่รัชกาลที่ 5 มาบรรจุที่วัดสระเกศ และแบ่งปันไปให้ประเทศอื่นด้วยครับ
4.ต้นศรีมหาโพธิ์ รุ่นที่สี คือปัจจุบันที่เราเห็นกัน
ท่านดาวสยามได้พาคณะเข้าไปกราบสักการะพระพุทธเมตตาและต้นศรีมหาโพธิ์ และเดินชมรอบสถานที่ต่างๆภายใน เช่น อุเทสเจดีย์ สถานที่พระพุทธเจ้าประทับในสัปดาห์ที่สอง รัตนจงกรม สถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าประทับในสัปดาห์ที่สาม รัตรฆรเจดีย์ สถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าสอนอภิธรรมแก่เทวดา ในสัปดาห์ที่สี่ เป็นต้น เนื่องจากไปกันเป็นคณะทัวร์จำกัดเวลาให้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ก่อนที่จะกลับไปกินข้าวเย็นที่โรงแรม ข้าพเจ้าจึงชวนเพื่อนสนิททั้งหมด 4 คนรวมภรรยาข้าพเจ้า นัดกันว่าหลังอาหารเย็น จะขอไปนั่งสวดมนต์ทำสมาธิที่ใต้ต้นโพธิ์อีกครั้ง และที่สำคัญข้าพเจ้าอยากได้ใบโพธิ์ที่หล่นมาจากต้นจะไปนั่งอธิษฐานขอดู เมื่อไปถึงต้นโพธิ์ต่างคนก็สวดมนต์ภาวนากันไปตามอิสระ หลังจากนั่งสมาธิทำใจให้สงบอยู่สักพัก ข้าพเจ้าก็เงยหน้ามองไปที่ต้นโพธิ์แล้วอธิษฐานขอให้ใบโพธิ์ตกมาที่ตรงข้าพเจ้านั่งอยู่ เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงในการมาแดนพุทธภูมิครั้งแรก หลังจากนั้นไม่นานใบโพธิ์เขียวสวยมากได้หล่นลงมากระทบพื้นข้างๆข้าพเจ้า เสียงดังชัดเจนมากจนข้าพเจ้าต้องลืมตาออกจากสมาธิอีกครั้ง แม้ว่าจะเป็นตอนกลางคืน แต่ในบริเวณต้นโพธิ์ก็มีพระศรีลังกา ธิเบต และคนไทยอื่นๆ อีกหลายคนอยู่แถวนั้นด้วย เพียงแต่ว่าจำนวนไม่มากเหมือนตอนกลางวัน เมื่อใบโพธิ์ตกลงเสียงดัง ทำให้เพื่อนข้าพเจ้าและหลายคนแถวนั้นหันมาดูจุดที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ด้วย นอกจากใบโพธิ์แล้วต่อมาภรรยาข้าพเจ้าก็เก็บได้เปลือกโพธิ์ที่หล่นมาจากต้นด้วยครับ นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังเก็บได้เมล็ดโพธิ์ที่หล่นมาจากต้นจำนวนมาก แต่เมื่อมาถึงกรุงเทพฯปรากฏว่าหาไม่เจอ ตอนแรกคิดว่าจะลองเอามาปลูกที่เมืองไทย แต่ที่แปลกดังปาฏิหาริย์ก็คือรูปถ่ายพระพุทธเมตตา ที่ข้าพเจ้าถ่ายเองโดยกล้องแคนนอน 7 ล้านพิเซล ถ่ายมาหลายสิบภาพเพราะรูปพระพุทธเมตตา ถ่ายยากมาก เราจะเปิดกล้องใช้แฟลชก็ไม่ได้เพราะท่านอยู่ในตู้กระจก คนข้างในก็เยอะเบียดเสียดกัน มีภาพที่ถ่ายได้ออกมาสวยงามมาก ที่สะดุดตาคือมีแสงสีเหลืองลอยอยู่ตรงบริเวณหน้าท้อง เหนือบาตรใบเล็กๆที่วางอยู่ ภาพออกมาสวยงามอย่างเหลือเชื่อ แม้แต่พวกแขกที่ทำรูปขายยังถามว่า ถ่ายออกมาได้อย่างไร ปีถัดมาข้าพเจ้าใช้กล้องที่ดีกว่าตัวเดิมก็ถ่ายไม่เคยได้สวยกว่ารูปนี้เลย ส่วนแสงสีเหลืองที่ปรากฏคล้ายดวงไฟ ถ้าตามหลักวิทยาศาสตร์อาจจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญเกิดจากการหักเหของแสง นั่นก็เป็นไปได้ครับ แต่โอกาสหนึ่งในล้านกระมังที่จะบังเอิญขนาดนั้น ข้าพเจ้าถือว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งที่ท่านอยากให้ข้าพเจ้านำมาเมืองไทย เพื่อเผยแผ่ให้กับคนที่ศรัทธาเลื่อมใสเท่านั้น เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นรูปนี้และเอาไปให้คนอื่นๆในคณะดูโดยเฉพาะพระอาจารย์หลายรูปที่ไปด้วย ทุกคนบอกว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างแน่นอนที่ท่านมอบให้แก่ข้าพเจ้า เพื่อนำกลับมาเมืองไทย หลังจากกลับมาเมืองไทยแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ทำการล้างรูปออกมาหลายขนาดตั้งแต่ A4 จนถึงใหญ่ที่สุดเท่าที่ร้านถ่ายรูปจะทำได้ ผลิตออกมานับพันแผ่น แจกไปเรื่อยๆสำหรับคนที่นับถือ โดยไม่มีการจำหน่ายใดๆทั้งสิ้น โดยเฉพาะรูปขนาดใหญ่สุดที่ใส่กรอบหลุยส์ก็แจกเท่าที่จำได้ เช่น หลวงปู่สอ และคุณหญิงสุรีย์พันธ์ นำไปมอบให้ท่าน ทั้งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน วันที่มอบให้เหมือนกับว่าท่านรู้ว่าข้าพเจ้าจะเอาของสำคัญมาให้ คล้ายกับท่านรออยู่ พอไปถึงท่านก็เดินออกมารับเลยครับ ไม่ต้องให้ข้าพเจ้านั่งรอเป็นเรื่องที่แปลกเหมือนกัน หลังจากนั้นทราบว่าท่านไม่มาที่กรุงเทพอีก ลูกศิษย์บอกว่าท่านมาเป็นครั้งสุดท้าย เหตุการณ์นี้ประมาณต้นปี 2551 หลังจากนั้นไม่นานท่านก็มรณภาพ
ในตอนที่ข้าพเจ้าล้างรูปออกมาชุดแรกๆหลายร้อยใบ ข้าพเจ้าได้นำรูปทั้งหมดไปอธิษฐานตามวัดต่างๆที่มีพระพุทธรูปชื่อดังตั้งแต่อยุธยา อ่างทอง สุพรรณบุรี ในขณะที่นั่งอธิษฐานจิตอยู่ต่อหน้าหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง สะเก็ดรักทองที่หุ้มหลวงพ่อโต ได้ตกลงมาตกหน้าที่ข้าพเจ้าอธิษฐานจิตอยู่ ลักษณะของสะเก็ดรักเป็นรูปหยดน้ำที่อยู่ตรงหน้าผากหลวงพ่อโต ตอนแรกข้าพเจ้าไม่กล้าเก็บขึ้นมา แต่คนวัดที่นำสวดเวลาคนไปถวายผ้าหลวงพ่อโต บอกว่าให้ข้าพเจ้าเก็บไว้บูชาเพราะหลวงพ่อโต คงเมตตามอบให้โดยเฉพาะ ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นปาฏิหาริย์สำหรับคนที่มีศรัทธาแน่นอน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ ถ้าใครสงสัยลองไปถามพี่คนที่นำสวดในวัดพนัญเชิงดูก็ได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าแกจำเหตุการณ์นี้ได้ และข้าพเจ้าก็ให้รูปพระพุทธเมตตาแกไปด้วยเป็นขนาด A4 ถ้าใครได้รูปภาพชุดนั้นไปถือว่าโชคดีมากๆ เพราะข้าพเจ้าได้นำไปอธิษฐานจิตหลายวัดตามที่กล่าว รูปภาพรุ่นนี้จะไม่ได้พิมพ์ชื่อและสถานที่บอก ตอนหลังข้าพเจ้าได้มาเพิ่มตัวหนังสือเข้าไป แต่ไม่ได้อธิษฐานเพราะเข้าใจว่าท่านมีความศักดิ์อยู่ในตัวเอง เพราะเคยมีทั้งพระเกจิและแม่ชีหลายคน บอกว่าสัมผัสถึงพลังที่อยู่ในรูปภาพได้ แม้ฆราวาสที่สอนกรรมฐานตอนเจอที่อินเดียในปี2551หลายคนยังมาขอรูปนี้เลยครับ คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ อีกเรื่องหนึ่งตอนที่เอารูปไปถวายที่วัดหงส์ทอง อำเภอบางบ่อ เกือบถึงฉะเชิงเทรา วัดนี้หลวงพ่อเป็นพระปฏิบัติสอนกรรมฐานดังในพื้นที่ เมื่อยกไปถวายท่านวันนั้น ท่านบอกให่ข้าพเจ้ายกไปด้วยตนเองเอาไปไว้ในเจดีย์ส่วนที่เหมาะสม เจดีย์นี้อยู่ติดทะเลครับ
หลังจากข้าพเจ้าทำรูปแจกมาพอสมควร ก็มีความคิดว่าควรจะทำรูปท่านมาติดตัวบูชาเพื่อแจกญาติมิตร ดังนั้นในปี 2551 จึงได้ทดลองทำล็อกเก็ตออกมาประมาณ 200 องค์รวมกันทั้งใหญ่และเล็ก เป็นล็อกเก็ตเปลือยๆไม่มีมวลสารอุดผงใดๆ ยกเว้นล็อกเก็ตรุ่นทดลองมีประมาณ 10 องค์ที่ข้าพเจ้าใส่ผงมวลสารที่ได้จากหลวงพ่อที่รู้จักและดินจากแดนพุทธภูมิที่ได้มาครั้งแรกอุดใส่ ลักษณะมวลสารรุ่นทดลองจะแก่ปูนปาสเตอร์ สำหรับล็อกเก็ตอุดผงที่ทำหลังจากกลับจากอินเดียปีที่สองนั้น จะได้มวลสารจากหลวงลุงผา วัดไตรสามัคคี หลวงพ่อบุญธรรม ราชบุรี เป็นต้น สำหรับล็อกเก็ตรุ่นทดลอง ข้าพเจ้าได้ถวายท่านเจ้าคุณวีรยุทธ วัดไทยกุสินารา ไปด้วยจำนวนหนึ่ง ท่านเห็นแล้วชอบมากๆ เข้าใจว่าท่านคงพกติดตัวไว้แน่นอน เพราะตอนได้ท่านดีใจมาก นอกจากนี้ท่านยังให้ข้าพเจ้าสร้างล็อกเก็ตพระพุทธเมตตา ด้านหลังเป็นเจดีย์วัดไทยกุสินารา ถวายให้ท่านด้วย ซึ่งข้าพเจ้าทำถวายท่านทั้งหมด 500 องค์ เมื่อปี 2552 เค้าใจว่าหมดแน่นอน เพราะล็อกเก็ตสร้างออกมาสวย
จริงๆแล้วยังมีเรื่องอีกมากที่เกี่ยวกับปาฏิหาริย์ในแดนพุทธภูมิ และอีกหลายเรื่องที่เกี่ยวกับรูปภาพและล็อกเก็ตพระพุทธเมตตา ถ้าใครอยากให้เขียนเรื่องปาฏิหาริย์แห่งศรัทธาต่อ ขอให้แสดงความคิดเห็นด้วยครับ เพราะที่เล่านี้เพียงแค่เริ่มต้นเองครับ ยังมีอีกหลายสถานที่และเหตุการณ์ ที่เกี่ยวข้องกับแดนพุทธภูมิที่ข้าพเจ้าไปมา ถ้ามีคนสนใจน้อยก็จะไม่เขียนต่อครับ
พนัสปราการ
